[RichardLee] :: Flower garden (1)

Niassbafui

Title : Flower garden

Pairing : Richard Armitage / Lee Pace

Part : 1

Note : เป็นฟิคยาวแค่ไม่กี่ตอนค่ะะะ โดยประมาณคิดว่าน่าจะ 2 – 3 พาร์ทนะคะ

Talk : แง้ววววววว เรากลับมากับฟิคยาว ฟฟฟฟฟฟฟ อันนี้น่าจะไม่ดองแล้ววว เพราะกะวางเรื่องไว้คร่าวๆน่าจะราวๆนี้ล่ะค่ะ ช่วงนี้จึงขอลงเฉพาะของเรื่องนี้ให้จบก่อนนะคะ ฝากติดตามด้วยเนอะ ขอให้อ่านให้สนุกค่ะะ

Twitter : @AssNichar

______________________________________________________________

ริชาร์ด อาร์มิเทจกำลังถูกเพื่อนร่วมงานของเขาท้าทายเรื่องความกลัวในเรื่องของภูติผีปีศาจ เขาไม่ใช่คนที่ขวัญอ่อนถึงขั้นกลัวเรื่องแบบนี้อะไรนัก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการที่จะเข้าไปร่วมท้าทายด้วย

จนกระทั่งนานวันเข้าเพื่อนร่วมงานแต่ละคนของเขาก็ต่างตีหน้าว่าเขาเป็นแค่พวกขี้ขลาดที่ไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับว่าตัวเองกลัวผี เขาจึงจำเป็นต้องไปตามที่ถูกท้าเอาไว้

มีบ้านที่กึ่งร้างหลังหนึ่งอยู่ลึกเข้าไปในซอยเดียวกับสำนักงานที่ริชาร์ดทำงานอยู่ ช่วยซอยนี้จะเป็นซอยตันซึ่งน่าแปลกที่มันกลับลึกมากพอสมควร ทำให้ท้ายๆซอยไม่ค่อยมีคนเข้าไปซื้อบ้าน จนกระทั่งวันหนึ่งมีข่าวออกมาว่าบ้านหลังที่ลึกที่สุดถูกซื้อขาดไป หากแต่ว่าก็แทบไม่มีใครกล้าเข้าไปหาเพื่อขอสัมภาษณ์หรือถามไถ่แต่อย่างใด เพียงเพราะแม้แต่ตอนกลางวันมันก็ดูทั้งเปลี่ยวและน่ากลัว บ้านหลังนั้นราวกับว่าขาดการดูแลแต่เมื่อตรวจเช็คแล้วบ้านหลังนั้นตอนกลางดึกจะมีพวกที่กล้าอยากท้าทายพบเห็นใครบางคนอยู่ในนั้นบ่อยครั้ง

Trrrr….. Trrrrr……

“เฮ้ นี่ไม่ใช่ว่านายนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหรอกนะ ริชาร์ด” เสียงเพื่อนคนหนึ่งดังขึ้นทันทีหลังจากที่ริชาร์ดรับโทรศัพท์

“ฉันมายืนอยู่หน้าบ้านนั้นแล้ว ทีนี้พวกนายจะได้เลิกๆพูดว่าฉันกลัวอะไรได้สักที”

ริชาร์ดตอบกลับไปพลางเงยหน้ามองสภาพบ้านโดยรอบ มันคงจะสวยงามมากในตอนแรกที่ซื้อ แต่คงเป็นเพราะเจ้าของบ้านไม่ค่อยดูแลอย่างคำกล่าวปากต่อปากที่ได้ยินมามันจึงมีสภาพค่อนข้างรกร้างและน่ากลัว สวนดอกไม้หน้าบ้านเหี่ยวเฉาราวกับไม่ได้รับน้ำและแห้งตายไป หญ้าขึ้นเกือบถึงระดับสะโพกแสดงให้เห็นได้ชัดว่าไม่เคยผ่านการตัดเลยหลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่

“พูดเป็นเล่นน่า”

“เดี๋ยวฉันจะถ่ายรูปไปให้นายดูเลย นายจะได้เลิกพูดอะไรบ้าๆแบบนั้นสักที”

“วู้ว พรุ่งนี้จะต้องเป็นข่าวใหญ่ที่ทำงานแน่ อ๋อ อย่าลืมเดินเข้าไปข้างในบ้านด้วยล่ะ แค่มายืนข้างหน้าบ้านใครๆก็ทำได้ทั้งนั้นล่ะน่า”

“ฉันทำแน่ แค่นี้แหล่ะ”

เขากดวางสายไปเมื่อได้ยินคำท้าทายต่ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขาควรจะจบเรื่องนี้ให้เร็วเท่าที่เขาจะทำได้ เนื่องจากตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เริ่มจะดึกพอสมควร เขาไม่อยากพลาดการนอนเต็มอิ่มที่สำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดีเป็นอย่างยิ่ง

ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปถึงชานบ้าน ริชาร์ดสังเกตเห็นพรมเช็ดเท้าที่ไม่เก่ามากแต่เขรอะไปด้วยฝุ่นและโคลนจากการเช็ดเท้า แน่นอนว่าเจ้าของบ้านคงไม่เคยทำความสะอาดมัน แต่ที่น่าแปลกคือบริเวณลูกบิดประตูดูไม่ค่อยมีฝุ่นจับเท่าไหร่ ราวกับว่ามีคนใช้มันบ่อยครั้ง

ก็ไม่ใช่คนที่เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในบ้านนี่..

ริชาร์ดอดยอมรับไม่ได้ว่าเขารู้สึกไม่ค่อยดีที่มาบุกรุกบ้านคนอื่นโดยไม่ได้ขออนุญาต ถึงแม้มันจะดูร้างขนาดไหนแต่ถ้ายังมีข่าวว่ามีบุคคลยังอยู่ในนี้และถ้าเกิดมีของมีค่าอยู่เขาก็ไม่ต่างอะไรจากนักย่องเบาดีๆคนหนึ่ง เขาพยายามกล่าวขอโทษเจ้าของบ้านพึมพำอยู่ในปากโดยหวังว่าจะได้รับการให้อภัย

ประตู..ไม่ได้ล็อคไว้?

เจ้าของบ้านหลังนี้คงมีความมั่นใจไม่น้อยว่าบ้านของตัวเองจะไม่ถูกบุกรุก แต่อย่างน้อยคงไม่ใช่สำหรับคนที่ถูกท้าทายให้ออกมาอย่างริชาร์ด อาร์มิเทจ

เฟอร์นิเจอร์และของต่างๆที่อยู่ภายในบ้านล้วนเต็มไปด้วยฝุ่นเกาะ และเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดก็ดูจะเป็นของที่ติดมากับบ้านที่ซื้อขาดหลังนี้ไม่ใช่เป็นการซื้อเข้ามาตกแต่งบ้านให้น่าอยู่ขึ้นแต่อย่างใด ไร้ซึ่งรูปภาพตามผนังหรือตู้ต่างๆ ภายในห้องครัวแทบไม่มีร่องรอยของการถูกใช้ อุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆก็เหมือนจะหายไปหมด…หรือเรียกได้ว่าไม่มีตั้งแต่แรกคงจะเหมาะสมกว่า

ริชาร์ดไล่ถ่ายภาพของแต่ละที่ไปเพื่อเป็นหลักฐานในการพิสูจน์ ท่ามกลางความแปลกใจของตัวเขาเองในหลายๆอย่างที่ดูแปลกประหลาดกับบ้านที่ถูกซื้อขาดและมีคนอาศัยอยู่ ในขณะที่เขากำลังจะเดินไปสำรวจต่อโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาเกือบจะหงุดหงิดถ้าหากว่ามันมาจากเพื่อนของเขาที่ตามตอแยเรื่องการพิสูจน์อะไรบ้าๆนี่ แต่มันกลับขึ้นชื่อเป็นของผู้หญิงคนหนึ่ง

“ว่าไง”

“ริชาร์ด…ฉันได้ข่าวว่านายไปที่บ้านท้ายซอยนั่นเหรอ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นอย่างเป็นห่วง

“อื้ม พวกคนอื่นๆจะได้เลิกพูดอะไรงี่เง่านั่นได้สักที” ริชาร์ดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนเบาลง

“นายก็รู้ว่านายไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น ตรงนั้นอันตรายจะตายไป ไหนจะเปลี่ยวแล้วโจรอีกอะไรอีก ฉัน..เป็นห่วงนายนะ ริชาร์ด”

“เธอก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้นเหมือนกัน แค่นี้ล่ะ เดี๋ยวกลับไปถึงแล้วจะโทรไปหานะ”

ริชาร์ดรู้สึกดีที่อย่างน้อยเขาก็ยังมีผู้หญิงคนนี้คอยเป็นห่วงและไม่ใช่พวกที่ท้าทายให้เขาทำอะไรบ้าๆเหมือนเพื่อนหลายๆคนของเขา หลังจากที่เขาเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าแล้วเตรียมที่จะขึ้นไปสำรวจที่ชั้นสองต่อเขาก็เหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคน

“บางทีนายควรจะเชื่อเธอนะ”

ต้นเสียงที่ดังมาจากทางบันไดทางขึ้นชั้นสองปรากฏให้เห็นชายที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดำสนิทกับกางเกงยีนส์สีดำเช่นเดียวกัน แววตาดูไม่ชุ่มชื้นเหมือนคนปกติเช่นเดียวกับใบหน้าซีดที่ดูค่อนไปทางโทรมเล็กน้อย ผมที่ขึ้นยาวถูกปัดให้ไปด้านหลัง เคราอ่อนขึ้นมาเล็กน้อยช่วยเสริมให้ชายหนุ่มมีแววขรึมและน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น

“โอ้ ขอโทษที จะให้ไม่ได้ยินก็คงไม่ได้หรอก บังเอิญฉันเป็นคนหูดีน่ะ” รอยยิ้มเย็นระบายออกมาจากใบหน้าที่ดูอ่อนวัยกว่าริชาร์ด

“ข..ขอโทษด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุกนะ แค่..”

“ชิ..พวกมาพิสูจน์ความกล้าสินะ น่ารำคาญ….” เสียงสบถดังออกมาเล็กน้อยแล้วสายตาที่เปลี่ยนมาปลายตาจิกมองอย่างบ่งบอกให้ชัดถึงความไม่พอใจ “มนุษย์หน้าไหนก็ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดสินะ..”

“…….” ริชาร์ดรู้สึกพูดอะไรไม่ออกกับอาการไม่พอใจของคนตรงหน้า เขาดูแปลกจากคนอื่นแต่ถ้าคิดในทางกลับกันเขาก็คงรู้สึกแย่ไม่น้อยที่ทุกคนที่เข้าหาเขาล้วนทำเพื่อพิสูจน์ความกล้า หาได้มีความจริงใจไม่ “คือ..ฉัน..”

“ออกไป..อ่า ออกไปซะ ก่อนที่ฉันจะฆ่านายทิ้ง” ชายหนุ่มผู้นั้นสามารถพูดคำว่า ‘ฆ่า’ ออกมาได้เรียบนิ่งราวกับเป็นเรื่องปกติที่ใครๆก็พูดกันจนน่ากลัว

“ฉัน..ริชาร์ด อาร์มิเทจ” ริชาร์ดไม่มั่นใจว่าความคิดแปลกประหลาดอะไรของเขากันแน่ที่ดันแนะนำตัวเองออกไป แต่ทันทีที่เขาได้มองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้นเขากลับรู้สึกว่าควรจะทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่การเดินออกไป

“….โอ้ นี่ไม่ใช่ห้องเรียนเด็กอนุบาลนะ ฉันไม่ได้อยากรู้จักนายแล้วก็ออกไปซะ”…

View original post 206 more words

Leave a comment