Anotonio 1

Antonio 1

หลังจากพวกผม กลับมาจากการเดินทาง ไล่ล่าตาดิโอ ผมกับคะเคียวอิน ได้กลายเป็นสามี ภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ทว่าคะเคียวอินกลับมีลูกติด 1 คน ก็คือ ทาโร่ ซึ่งเจ้าเด็กชายคนนี้ ผมไม่รู้หรอกนะว่าแกเป็นลูกของใคร จนกระทั่งแกเริ่ม โตเป็นหนุ่ม อายุ ประมาณ 15 ปี ตอนนั้นแกเริ่มมีเค้าโครง ว่าจะเหมือน โจทาโร่ คุโจ แต่ใบหน้าและทรงผม เหมือน คะเคียวอิน

คงเป็นเพราะสาเหตุนี้ละมั้ง ที่เพื่อนผม โจเซฟ โจสตาร์ ต้องการให้ผมชุบชีวิต คะเคียวอิน เนื่องจากเขาตั้งครรภ์อ่อนๆ ในช่วงที่พวกผมตั้งแคมป์ ห่อนเดินทางไป ที่ไคโร อียิปต์ ซึ่งเขาก็ไม่ได้แสดงอาการแพ้ท้องแต่อย่างใด เขาไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเอง กำลังจะเป็นแม่คน แต่มารู้ทีหลังก็ตอนที่ตัวเองจะใกล้ตาย ซึ่งผมก็ได้ทำการชุบชีวิตเขาขึ้นมาอีกครั้ง คุณโจสตาร์ อยากให้เหลนแกรอดตาย จะได้เป็นทายาท คนต่อไป ของตระกูล โจสตาร์

แต่บังเอิญแกเกิด ที่อิตาลี่ และแกไม่เคยเห็นหน้าบิดาแท้ๆ ของแก แกเลยนึกว่าผมเป็นพ่อ เพราะแม่ของแก เป็นเมียผม เราจดทะเบียนสมรสก่อนจะแต่งงานกัน ในเมืองเวทย์มนต์ ซึ่งสำหรับสถานที่แห่งนี้ ไม่จำกัดเพศ เพราะถือว่าทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่า ชาย ชาย หญิง หญิง หรือคู่ หญิงชาย ถ้าจะแต่งงานก็ต้องมีการจดทะเบียนสมรสอยู่ดี

ตอนนั้น เมียผมอยากให้ลูกมีเพื่อน เหมือนเด็กคนอื่นๆ เนื่องจาก เมื่อภรรยาผมตอนเด็ก เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาโดยตลอด หลังจากที่เขามีตัวแสตนด์ แต่ตอนนี้พอมาร่วมเดินทางกับ เพื่อนผม เขาก็รู้ว่ามีพรรคพวกเดียวกันกับเขา ผมเลยส่งทาโร่ ลูกเลี้ยงของผม ให้แกไปอยู่ที่เมือง มาริโอ เพราะที่นั่นมีพวกเด็กๆ รุ่นใหม่ที่ใช้แสตนด์กันเยอะ และผม กับ ภรรยาก็จะเดินทางไป พักผ่อนที่โน่น เพื่อไปเยี่ยมลูกเลี้ยงของผม

ในระหว่างการเดินทาง คะเคียวอิน นั่งรถด้วยกันกับผม ซึ่งมีคนขับรถอยู่แล้วเป็นคนของ สปีดแวกอนเดินทางไปพักโรงแรม ห้าดาว ที่อยู่ติดกับทะเล ท่าเรือแถวๆนั้น พวกเราก็ไม่นึกหรอกนะ ว่าจะได้มีโอกาสพบเจอ โจทาโร่ อีก ซึ่งเป็นเพื่อนเก่า ในช่วงพักร้อนที่มาริโอ ผมได้สอบถามเรื่องราว เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว จาก โทนิโอ เพื่อนสนิท ของผม ที่เป็นเจ้าของร้านอาหารอิตาเลี่ยน ในหมู่บ้านแห่งนี้ แกก็แนะนำอย่างละเอียด ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง พวกผมได้คนของ สปีด แวกอนคอยดูแล และอำนวยความสะดวกเกือบหมดทุกอย่าง แต่พวกเรานั่งเรือ คนละลำกับ เพื่อนผม โจเซฟ โจสตาร์ ผมก็มีคนของผมเหมือนกัน ที่เป็นทั้งคนขับเรือ และพนักงานเสิร์ฟอาหาร และพ่อครัว ซึ่งก็คือ คนในท้องถิ่ง ที่เมืองแห่งนี้

‘คุณเพิ่งไปเยี่ยมโจทาโร่มาสินะ’ ผมถาม คะเคียวอิน ตอนที่เราสองคน นั่งแช่ในอ่างอาบน้ำ บนเรือ เขาสวมแค่กางเกงว่ายน้ำ หนึ่งตัว ผมเองก็เหมือนกัน เรายังคงนั่งชมวิว ทิวทัศน์ภายนอก ที่นี่บรรยากาศค่อนข้างดี และนั่งจิบไวน์องุ่น ผมได้สั่งให้พนักงานของผม เตรียมชามแก้ว ใส่ลูกเชอรี่เยอะๆ ไว้ให้ภรรยาผม โดยเฉพาะ คะเคียวอิน หยิบเชอรี่จากชามแก้ว มานั่งกิน ก่อนจะหันมามองหน้าผม

‘ใช่ ฉันได้รู้จัก พวกคนใช้แสตนด์ รุ่นใหม่เยอะมาก’ เขาหันมามองผม กับส่งยิ้ม อย่างอ่อนโยนให้ผม ผมก้มลงประกบจูบ บนริมฝีปากสีชมพูอ่อนของเขา อย่างนุ่มนวล ก่อนจะค่อยๆ ผละออกมาช้าๆ แล้วใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผม สีแดง ที่เป็นลอนยาวลงมา บังตรงตาข้างซ้าย โทนิโอพูดถูก ผมโชคดีที่ได้ภรรยาที่หน้าตาสะสวย แต่เขาจะมีรอยแผลนิดๆ ตรงตา ‘ที่ฉันเลือกแต่งงานกับนาย เพราะตอนที่ฉันตาบอด นายเป็นผู้ชายคนแรก ที่เอาใจใส่ และดูแลฉันตลอด ในขณะที่คนอื่นๆออกไปทำภารกิจ ข้างนอก ตอนอยู่อียิปต์’

ใช่ผมเป็นคน ขออาสาอยู่ที่โรงพยาบาล คอยดูแลเขาตลอด ในขณะที่ โจทาโร่ และพรรคพวกออกไปทำภารกิจ ผมมักจะมานั่งเฝ้าไข้เขาตลอดเวลา ยิ่งช่วงที่เขาตกใจ ตอนที่ตาเริ่มมีอาการมองไม่เห็น ผมนี่แหล่ะ ที่มักจะอยู่เคียงข้างเขา โจทาโร่ก็รักเขาเหมือนกัน ผมได้แต่ปลอบใจเขา ว่าซักวันเขาจะสามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ผมคอยแอบใช้พลังของผม ช่วยทำให้ดวงตาเขากลับมามองเห็นได้อีกครั้ง

หลังจากนั้น เรานั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ คะเคียวอิน ก็ยังนั่งรับประทานอาหาร ด้วยกันกับผม ก่อนจะมองภาพถ่าย ความทรงจำตอนที่เดินทางไปอียิปต์ด้วยกัน ในภาพถ่าย มีผม ยืนกอดเอวของคะเคียวอิน และก็โจทาโร่ โจเซฟ โจสตาร์ โปราเรฟ เจ้าหมาน้อยอิกกี๊ กับ อัปดุล ตอนนั้น คะเคียวอินกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ซึ่งก็คือทาโร่ นั่นเอง ผมรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นพ่อแท้ๆ ของแก เพียงแต่ผมแค่ไม่บอกแกเฉยๆ อันนี้เป็นรูปภาพในอดีต แต่ตอนนี้ คะเคียวอิน ไม่ได้ใส่ชุดนักเรียนชาย สีเขียวอีก เขาสวมชุดอีกแบบ ที่เปิดหลัง และรวบผมสีแดงยาวไว้ด้านหลัง เป็นเสื้อโอเวอร์โคท กับ เสื้อแขนยาว สีเขียวอยู่ข้างใน เขาใส่แว่นกันแดดสีดำ นอนอาบแดดอยู่

ซักพักเสียงโทรศัพท์ ดังเขาเลยเอื้อมมือไปรับ โทรศัพท์บนแท่นวาง ในขณะที่กำลัง นั่งดื่มน้ำผลไม้ กับกินเจ้าเชอรี่ ในชามแก้ว ‘ฮัลโหล โคอิจิ ใจเย็นๆ หนูตั้งสติก่อน น้าไม่เข้าใจ ว่าหนูต้องการจะให้น้าช่วยอย่างไร โอเค หนูบอกโจสุเกะยัง ว่าโจทาโร่โดนระเบิด ของคิระ อืม เอางี้ หนูรีบพาโจทาโร่ออกมาจากที่นั่นนะ และก็ไปหาที่หลบภัยซ่อนตัวก่อน เดี๋ยวน้า ค่อยตามไป แค่นี้นะ’ คะเคียวอินดูเหมือนจะ ใจเย็น และรับรู้สถานการณ์ได้เป็นอย่างดี เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ราวแม่กับลูก ผมที่กำลังขับเรืออยู่ หันไปมองหน้าภรรยา ที่ยังนอนอาบแดดชมวิว อยู่

‘ที่รัก เราต้องกลับไปที่โมริโอแล้วล่ะ’ คะเคียวอินบอกผม ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น น้ำเสียงเขาไม่ค่อยดูร้อนรน แต่สีหน้าเขาดูเศร้าๆ เขารู้อยู่แล้ว ว่าต้องเกิดเรื่องร้ายๆ กับโจทาโร่แน่ๆ พวกเราเลยรีบขับเรือกลับไปที่โมริโอ ไม่แปลกใจเลยว่า คะเคียวอินจะมีสติ และมักจะเอาตัวรอดได้หมดทุกสถานการณ์ นี่คือสาเหตุที่ทำไม เพื่อนผม โจเซฟ ถึงเลือกเขา ให้มาร่วมเดินทางด้วยกัน ทันทีที่เรือจอดถึงท่าเรือ ที่โทริโอ พวกผม รีบขับรถ ไปที่บ้านของโจสุเกะ และกดกริ่งหน้าบ้าน โชคดีที่โจสุเกะมาถึงพอดี ผมรออยู่ในรถ เห็นภรรยาผม คะเคียวอินยืนอยู่หน้าบ้านโจสุเกะ และโจสุเกะ เดินออกมา โจสุเกะ ให้เขาเข้ามาในบ้านซักพักก็รีบออกมา และเข้ามานั่งในรถผม ด้วยกันกับ โอคุยาสุ และทาโร่ โจสุเกะบอกทางผม ในขณะที่พวกเรา นั่งรถไปด้วยกัน

ทันทีที่ไปถึงจุดเกิดเหตุ พวกผมเอารถไปซ่อนก่อนจะ รีบเดินไปหา โจทาโร่ กับ โคอิจิ คะเคียวอิน รีบไปหาโจทาโร่ก่อนคนแรก ส่วนตาคิระ โดนอัดน็อคลงไปนอนนับดาวอยู่ที่พื้น โจทาโร่ยังคงมีสติอยู่ แต่เจ้าเครซี่ ไดม่อน ของโจสุเกะได้ออกมา ทำการรักษาพวกเขาสองคน คะเคียวอินยังคงอยู่เคียงข้างโจทาโร่ ต่อให้โจทาโร่เจอเรื่องร้ายๆ มากแค่ไหนคะเคียวอินก็ยังคงจะอยู่กับเขา ต่อให้แลกมาด้วยชีวิตก็ตาม

‘แปลกนะว่ามั๊ย ฉันว่า คะเคียวอิน กับโจทาโร่ เป็นรักแท้จริงๆนะ ขนาดโจทาโร่เจอเรื่อง คอขาดบาดตายคะเคียวอินก็ เลือกจะอยู่กับเขาเลย’ โอคุยาสุบอก โจสุเกะ

‘อืม ฉันเห็นด้วยนะ โอคุยาสุ’ โจสุเกะเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินไปหาคิระ ส่วนผม รีบเข้าไปดูอาการของ โจทาโร่ และโคอิจิ ผมก็ว่าสองคนนี้ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนตายอย่างเดียว แต่มันมีอะไรที่มันมากกว่า แค่คำว่าเพื่อน ส่วนทาโร่ แกก็ไปช่วยโคอิจิ พวกเราวิ่งไปตามมือของ คิระที่โดนเจ้าของ ใช้แสตนด์ ตัดขาดออกจากมือ

‘โจทาโร่ ฉันเตือนนายแล้วนี่ ว่าให้ระวังคิระ โยชิคาเกะ’ คะเคียวอินหันไปคุยกับ โจทาโร่

‘แต่ร้ายกว่านี้ ฉันก็เคยเจอมาแล้ว อย่างนี้ไม่น่าจะมีอะไรนะ’

‘ร้ายกว่านี้ หมายถึง ที่นายสู้กับดิโอรึ อย่าเอาไปเทียบกับหมอนั่นเลย ขนาดฉันยังโดนมันฆ่าตายไปครั้งนึง ตอนสู้กับมัน ตัวนายเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเหมือนกัน’

‘อย่าไปพูดถึงดิโอเลย นั่นมันกระดูกคนละเบอร์กัน กับคิระ เชื่อผมสิ ผมคงไม่ยอมให้โคอิจิไปสู้กับดิโอเด็ดขาด’ โจทาโร่หันไปพูดกับ คะเคียวอิน

‘แต่ดิโอตายไปแล้วนี่’ ผมเอ่ยขึ้น ใช่ผมเห็นโจทาโร่สามารถฆ่าเขาได้ แต่ที่ผมสงสัย เจ้าคิระ มันจะหนีไปได้ไกลแค่ไหน ในเมื่อตอนนี้มันมือขาดไปข้างนึง กำลังบาดเจ็บ และมันเดิน ส่วนพวกผมวิ่งจนตับแล๊บแทบตาย ทำไมยังตามมันไม่ทันซักที หมอนี่มันเป็นเต่านินจากลับชาติมาเกิดหรือเปล่า ก็ไม่รู้ ซักพัก ก็มาถึงที่ ซินเดอเรลล่า ซึ่งเป็นร้านซาลอน

‘อาจารย์อายะ’ โคอิจิ ตะโกนเรียก ชื่อผู้หญิงคนหนึ่ง ขณะที่เราเดินไป ตาม มือคิระ ที่นำทางพวกเรา พวกเราถามถึง ผู้ชายคนหนึ่ง ที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะแต่งหน้า ก่อนจะก้มลง มอง อายะ ที่นอนอยู่บนพื้น นางได้พูดถึงผู้ชาย คนนี้ที่ไม่มีใบหน้า ก่อนที่ร่างนางจะระเบิดไปกับหน้ากับตา

‘โอคุณพระช่วย ฉันไม่เคยเจอเรื่องอย่างนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย’ คะเคียวอินหันมามองหน้าผม ก่อนจะเดินตามคนอื่นไปที่ประตูทางออก ของร้าน ซินเดอเรลล่า

‘แล้วอย่างนี้ฉันจะไปบอกเจ้าหนู ฮายาโตะ ยังไงล่ะ? บอกแกว่าแม่แกโดนระเบิด ตายรึ?’ ผมถามโจทาโร่ ด้วยความสงสัย

‘เราทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ แอนโทนิโอ อีกอย่าง หมอนั่นมันคงหนีไปไกลแล้วล่ะ’ โจทาโร่เอ่ยขึ้น

Leave a comment